วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 7/23 (3)


พระอาจารย์
7/23 (550330B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
30 มีนาคม 2555
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 7/23  ช่วง 2

โยม –  ต้องกล้าได้กล้าเสีย

พระอาจารย์ –  ก็ต้องเสีย ในสิ่งที่มันคุ้นเคยน่ะ

โยม –  อ๋อ เสียในสิ่งที่เคยพอใจ

พระอาจารย์ –  แล้วก็มาลงทุนในลักษณะที่...ไม่รู้ว่าจะได้ผลเมื่อไหร่

โยม –  กล้ามั้ย

พระอาจารย์ –  เออ กล้ามั้ยล่ะ

โยม –  กล้าที่จะทำในสิ่งที่แบบว่าเราไม่คุ้นเคยแล้วก็ไม่ได้เสพอารมณ์ที่เราชอบ

พระอาจารย์ –  ทางนี่...คือมันมีเส้นทางนึงที่พวกเราเดินในเส้นทางนี้ ทุกคนน่ะเดินในเส้นทางนี้มาเป็นล้านๆๆๆ ครั้ง จนมันหลับตาเดินได้ จนมันคุ้นเคย

เพราะมันคุ้นเคย ...คุ้นเคยหมายความว่าหลับตากูก็เดินได้ จำได้ทุกย่างก้าวเลย ตรงไหนจะเจอจะได้อะไร มันไม่ต้องลืมตาไม่ต้องกลัวว่าจะตกถนนนี้เลย

เพราะมันเดินมาเป็นอเนกชาติ ทำไมมันจะจำไม่ได้ ใช่มั้ย ...ทำมาหากิน เดินไปเดินมา ไม่มีสติสตัง ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้กายรู้ใจ มันก็ทำได้ด้วยความที่เหมือนเป็นอัตโนมัติ ดูเหมือนมันทำได้หมดเลย ไม่เห็นมีปัญหา


โยม –  ตื่นมาในห้องปุ๊บเราจะลุกไปทำนั้นทำนี้เลย

พระอาจารย์   ทั้งหมดโดยสัญชาติญาณ ทำนู่นทำนี่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว...แต่ทำได้หมดเลยนะ ...เนี่ย เพราะอนุสัย เคยชิน 

เพราะเคยชินในอาการนี้ จิตอย่างนี้ กิเลสอย่างนี้ นับภพนับชาติไม่ถ้วนเลย ...มันเป็นทาง นี่ก็คือทางนึงเหมือนกัน เรียกว่าเป็นขาประจำ พวกขาประจำเป็นอย่างนี้

แต่มรรคนี่เป็นทางที่ไม่คุ้นเคย ไม่เคยเดิน ...เพราะนั้น พอเดินไปสักก้าวนึง...สงสัยวุ้ย  มันมืดน่ะ มองไม่เห็นน่ะ เขาบอกว่าไปนิพพาน กูยังไม่เห็นเลย มันอยู่ไหน 

ก็บอกว่าเดินเข้าไปเหอะ ...ก็สงสัยอีก แล้วก็ว่า เออ ไม่เอาอ่ะ ...มันก็ลำบาก เพราะมันไม่คุ้นเคย ... ลำบาก เพราะมันไม่คุ้นเคย


โยม –  ตรงนี้เอง ที่ทำให้เป็นอุปสรรค

พระอาจารย์ –  เออ แล้วก็บอก...ไม่เอาแล้วทางนี้ ปล่อยสบายๆ ดีกว่า ไม่ต้องรู้ไม่ต้องดู ไม่เห็นต้องกำหนดอะไร ไม่ต้องมารู้กายรู้ใจตลอดเวลา ไม่รู้จะรู้ไปทำไม แล้วจะได้ผลมั้ย ...ก็มันไม่เคยเดินนี่ทางนี้ ใช่มั้ย

โยม –  อ๋อ มันก็เลยสงสัย เพราะมันไม่เคยเดิน

พระอาจารย์ –  เออ มันก็ไปนั่งนอนสบายๆ ปล่อยจิตลอยไปลอยมา คิดไปคิดมา ...แล้วมันเคยชินไง มันรู้สึกว่าแล้วมันจะได้ผลอะไร เดี๋ยวจะได้อะไรจากการนี้ คือมันรู้

โยม –  ฮ่ะ มันรู้ว่ากินอาหารอร่อย ก็จะได้พอใจ

พระอาจารย์ –  จะได้อะไรอย่างนี้ ไปตรงนั้นจะได้อะไร มันทำได้ผลตรงนี้เลย เนี่ย


โยม –  แต่เส้นมรรคนี่ยังไม่เคย ก็เลยสงสัย ไม่รู้จะดูแล้วได้อะไร

พระอาจารย์ –  นี่สงสัย ...แต่ว่าไอ้ความเคยชินนี่แหละ จะมาพาให้เกิดตายซ้ำซากๆ

โยม –  อื้อหือ

พระอาจารย์ –  เพราะว่าไอ้สิ่งที่มันได้ สิ่งที่มันมีนี่ คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโลกทั้งสิ้น เข้าใจมั้ย

โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  แต่ไอ้คราวนี้ คนที่เดินในทางมรรคนี่ คนที่เดินไปจนถึงที่สุดน่ะน้อย ไปแล้วก็ไปลับๆ ไปแล้วไม่กลับ ไปแล้วก็ไม่กลับมายืนยันให้ชัดเจน เข้าใจมั้ย มันเลยขาดช่วง  

แล้วก็บางคนเดินไปยังไม่ถึงไหน หรือว่าเดินไปอีกทางนึง แล้วยังบอกว่าเนี่ยใช่อีกต่างหาก ...ในหกพันแปดพันล้านคน จะมีเข้าที่สุดขององค์มรรคกี่คน นับเป็นหน่วย...หลักหน่วยเอาเลย


โยม –  ถ้าเกิดเดินในมรรคแล้ว ได้สักครึ่งทางนี่ล่ะเจ้าคะ มันจะเป็นการยืนยันได้มั้ยว่าที่เดินไปนี่ เป็นการที่ถูกต้องแล้ว

พระอาจารย์ –  ข้างหน้ามันมีแสงสว่าง ปลายอุโมงค์นี่ มันมีความสว่าง ...รู้เองน่ะ มันชัดเจนในตัวของมันเอง มันไม่ต้องให้ใครมาการันตีหรอก หรือให้ใครมาบอกว่าถูกหรือผิดหรอก นั่นแหละ ของจริง

แต่ถ้าได้เข้าทางในระดับนึงแล้วนี่...ที่เราบอกว่า ถ้าเป็นนายช่างที่ต่อเรือพอจะขึ้นเรือแล้วอาศัยพายเรือได้ นั่นเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์แล้ว ...ไม่ถอยแล้ว ไม่หันหลังกลับแล้ว 

ถ้าเห็นแสงสว่างตรงนั้น ไม่หันหลังกลับแล้ว เรียกว่าไม่หวนคืนในเส้นทางที่เคยเดินมาก่อนนับอสงไขยชาติไม่ถ้วน ...จะไม่มีทางหันหลังกลับ

แต่ในระหว่างที่กำลังต่อเรือ แล้วยังไม่เจอแสงสว่าง ...ผีเข้าผีออกนะๆ  ไอ้ช่วงนี้สำคัญ  สำคัญยังไง ...คือผีเข้าผีออกแล้วดันเสือกตาย


โยม –  โอ้โห แล้วก็

พระอาจารย์ –  มันก็ติดไปเป็นนิสัย ...ไม่ต้องกลัว

โยม –  ติดนิสัยต่อไปใช่ไหมคะ ก็จะมาเดินง่ายขึ้นในชาติใหม่ๆ ต่อไป

พระอาจารย์ –  มันก็ไม่ทิ้งงานในมรรค เพราะถือว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่าแล้ว

โยม –  ก็มีเหตุปัจจัยทำให้เข้ามาในทางนี้ แล้วก็สามารถจะเดินในมรรคได้ต่อไป

พระอาจารย์ –  ถูกต้อง จนกว่าจะถึงจุดที่เรียกว่าต่อเรือเป็นชิ้นเป็นอัน จึงจะไม่หวนแล้ว

โยม –  จนเห็นแสงสว่างที่ปลายถ้ำแล้วใช่มั้ย

พระอาจารย์ –  จนใครหลอกไม่ได้น่ะ ไม่ว่าข้างนอกหลอกหรือข้างในหลอก ...ส่วนมากตรงของพวกเรานี่ ตัวเราน่ะหลอก จิตน่ะหลอก จิตคิด จิตปรุง จิตจำ จิตหา จิตให้ค่า พวกนี้หลอก หลอกปั่นหัว ทั้งวี่ทั้งวันน่ะ

อยู่เหนือมันได้แป๊บนึง เดี๋ยวมันก็พลิกกลับ เสร็จมันอีก ตามความคิดอีกแล้ว ตามอารมณ์อีกแล้ว ตามกิเลสอีกแล้วเดี๋ยวพอแข็งขืน พลิกมาอยู่เหนือมัน รู้ๆๆ เห็นๆๆ ได้แป๊บนึง...หาย  อยู่อย่างนี้ 

เนี่ย ท่านเรียกว่าสัมมาอาชีโว ...ต้องมีความพากเพียร อย่าท้อ อย่าขี้เกียจ  อย่าขี้เกียจที่จะรู้บ่อยๆ รู้แบบไม่เอาอะไร รู้แบบรู้กายตรงๆ รู้ในปัจจุบัน...กายปัจจุบันจริงๆ 

รู้แบบไม่เอาหวังผล หวังมรรคหวังผลในอดีตในอนาคต ไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาถูกไม่เอาผิดเลย ...กล้าได้กล้าเสียมั้ยล่ะ


โยม –  กล้าได้กล้าเสีย ...แต่ว่ามันรู้สึกจะเบื่อค่ะ พอรู้ตรงๆ อยู่อย่างนี้ ก็มารู้ที่กายมันก็นั่งอยู่อย่างนี้เฉยๆ แล้วมันจะมารู้อะไร ก็เห็นนั่งอยู่อย่างนี้

พระอาจารย์ –  ก็เห็นความจริงน่ะสิ จะเห็นอะไรล่ะ เห็นความจริงของกาย ...เห็นมั้ย

โยม –  เห็นเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  เห็นว่าอะไร

โยม –  กายนั่งอยู่

พระอาจารย์ –  ยังไม่จริง

โยม –  กายนั่ง

พระอาจารย์ –  กายนั่ง ก็ไม่จริง นี่ ดูลงไปอีก เห็นมั้ย กายคืออะไรล่ะ

โยม –  ธาตุสี่

พระอาจารย์ –  ธาตุสี่ก็ยังไม่จริง ...กายเป็นแค่สิ่งที่ปรากฏ

โยม –  สิ่งที่ถูกรู้

พระอาจารย์ –  มันเป็นยังไง

โยม –  ยังมีผู้นั่ง ยังมีตัวเจตนาเป็นผู้นั่ง

พระอาจารย์ –  ไม่มี

โยม –  เป็นวัตถุ ให้จิตไปรู้เท่านั้นเอง

พระอาจารย์ –  เป็นแค่กองนึง เป็นก้อนนึง เป็นความรู้สึกนึง

โยม –  เป็นแท่งอย่างนี้ทั้งหมดใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  จะแจ้งทั้งหมดก็ได้ จะเป็นแค่หย่อมๆ ก็ได้ จะเป็นแค่ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็ได้ ...อย่าเบื่อ อย่าขี้เกียจที่จะรู้ 

เพราะทางนี้ไม่เคยเดิน ทางนี้ไม่สวยงาม ...ข้างหน้ามันดูเหมือนรกชัฏ แต่นี่คือปากทาง กาย-ใจ เริ่มต้นนี่คือปากทางขององค์มรรค ...ถ้าไม่วนเวียนอยู่ที่ปากทางขององค์มรรคนี่ ไม่มีทางเข้าองค์มรรคได้

ถ้าลืมกายลืมใจเมื่อใดก็แปลว่า..จำไว้เลยว่าออกนอกมรรค มัวแต่ไปหาอะไรอยู่ ...เพราะนั้นน่ะ เมื่อใดที่อยู่ที่กายใจ รู้แค่กายรู้กับใจ รู้อยู่ตรงนี้เท่านั้นน่ะ จะไม่มีเรื่องอะไรตรงนี้เลย จะไม่ไปเอาเรื่องกับอะไรเลย


โยม –  พระอาจารย์บอกว่าให้รู้กายใจ แต่ว่าพระอาจารย์ว่าไม่ให้ทิ้งกาย ให้กายเป็นหลัก ใจไม่จำเป็นต้อง...

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ มันก็อยู่ตรงที่เดียวกันแหละ ...กายมันรู้เองไม่ได้หรอก 

แต่คราวนี้ว่าไอ้กายที่ถูกรู้น่ะ มันยังถูกรู้ในลักษณะไหน ...จิตมันยังเข้าไปรู้กับมันมั้ย จิตมันยังเข้าไปให้ค่าในแง่ไหนมั้ย ...แยกออก ถี่ถ้วนลงไปในกาย...ที่เป็นกายจริงๆ ที่ไม่มีปากมีเสียง กายที่เป็นกายวิเวก 

ความเป็นกายวิเวกของมันน่ะ หยั่งลงไปให้เห็นตรงนั้น เดี๋ยวจะหายเบื่อเลยแหละ ...เมื่อใดที่เจอกายแท้ หรือว่ากายวิเวกจริงๆ นั่นแหละจะหายเบื่อ จะสดใส จะตื่น จะเบิกบาน จะมีพลัง

แต่คราวนี้ว่ากายยังเศร้าหมอง กายยังขุ่นมัว ด้วยจิตที่เข้าไปบดบัง ด้วยความเห็นที่เรายังแยกไม่ออก นั่นแหละ ท้อแท้ เซ็ง ไม่เห็นอะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย 

อย่าท้อแท้ อย่าเซ็ง หยั่งลงไปๆ ...เจอแน่ เจอเพชรเจอทองในหีบสมบัติแน่


โยม –  ท่านพูดอุปมาแบบงานชิ้นเอกเลยนะคะ งานต่อเรือ งานชิ้นเอกที่ควรทำ  คำพูดท่านนี่มันไพเราะมากเลยน่ะค่ะ รู้สึกเข้าไปถึงใจแล้วแบบ โอ๋ จริงด้วยนะ งานอันประเสริฐนี้นะคะ ที่มีสาระน่ะค่ะ นอกนั้นมันทำแล้วก็ตายใช่มั้ยคะ แล้วเกิดมาทำใหม่อีก ด้วยความเคยชินนี้มันจะ...

พระอาจารย์ –  เป็นงานที่ไม่จบ ...งานในโลกนี่ไม่จบ แต่งานภายในนี่จบ ...งานในโลกนี่ อย่างวันนี้กวาดบ้าน เฮ้อ เสร็จแล้ว  อ้าว พรุ่งนี้กวาดใหม่อีก ...อะไรวะ ก็ว่าเสร็จแล้ว

โยม –  ใช่แล้ว โยมเบื่อที่สุดเลยตรงนี้

พระอาจารย์ –  ถูแล้วก็ว่าเรียบร้อยสบายใจ เอ้า อีกวันมาอีกแล้วต้องถูอีกน่ะ ...งานนี้ไม่เคยจบเลย


(ต่อแทร็ก 7/23  ช่วง 4)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น