พระอาจารย์
7/31 (550411C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 เมษายน 2555
(ช่วง 3)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 7/31 ช่วง 2
แล้วมันจะมาเรียนรู้ไอ้สิ่งที่มันซ้ำซาก
...คือเหมือนกับตาเราไม่ดีน่ะ ทีนี้มาตัดแว่นใส่ ก็เหมือนคนแก่ใส่แว่น ...แต่ก่อนมันไม่ได้ใส่แว่น
มันมองไม่เห็น
มีอยู่ ใช้อยู่
แล้วก็ทำไปตามอำนาจของมันโดยไม่เห็นเลยว่าเราทำไปกับมันได้ยังไง ...อ้อ พอมาส่องไป
ดูไปดูมา อ้าว มันอย่างนี้นี่เอง อ๋อๆๆ รายละเอียดเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น
มันก็ทำแบบเก่านั่นแหละ...กายใจ
ในกายในใจเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ ไม่ได้ไปหา ไปสร้างไปทำขึ้นมาใหม่ตรงไหน
มันดูของที่มีอยู่ในกายใจนี่แหละ ...แต่แต่ก่อนมันไม่เห็นน่ะ มันโง่ ตาไม่ดี
นี่ ตามันก็ดีขึ้น
ญาณทัสสนะมันก็แจ่มชัดขึ้น ไอ้ที่เล็ดรอดไป ไอ้ที่เคยเล็ดรอดไป
หรือว่ามันแอบเกลือกกลั้ว ปนเปื้อน หรือว่าซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบแล้วมันก็คอยชี้นิ้วบงการ ...มันเห็นหมด
เรียกว่ามันเกิดภาวะที่เรียกว่าเข้าไปล้างเผ่าพันธุ์
ถึงขั้นตายยกคลอกน่ะ นั่น ยังไม่หมดเวลาเลยนั่น มันละเอียดจนสุดละเอียดน่ะ
ก็อยู่ในนี้อีกเหมือนเดิมน่ะ ไม่ได้ออกนอกนี้เลย
แต่ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้
เราไม่เห็นอะไรซักอย่างน่ะ ...ตาไม่ดี ตามันยังไม่ดี มันมองไม่เห็น แต่ความผิดของคนอื่นน่ะเท่าภูเขา
ไอ้ความผิดเรานี่มองไม่เห็น
เหมือนกันน่ะ เวลาเรามาอยู่ในกายใจนี่มองไม่เห็น...เหมือนไม่มีอะไรซักอย่างเลย
ไม่มีอะไรให้ดูเลย น่าเบื่อ ไม่เห็นมีอะไร
แต่มันคอยไปสอดส่องใครจะทำอะไร นั่น
ใครจะเดินท่าไหน ใครจะพูดอย่างไร ใครจะทำเรื่องราวนั้นอย่างงี้อย่างโง้น ...มันคอยส่องออกไปข้างนอก ข้างหน้า ข้างหลังอยู่อย่างนั้น
มันไม่ส่องลงตรงนี้
ญาณเขามีให้ส่องอยู่ภายใน ไม่ได้ไปส่องคนอื่น …ไอ้ส่องคนอื่นน่ะส่องด้วยกิเลส
ส่องด้วยความอยาก ส่องด้วยความคาดค้นเพื่อจะไปจับผิด
ให้มาจับผิดตัวเอง จับผิดตัวเอง...กายใจ
อะไรเป็นกาย ไปว่าได้ยังไงฮึ ไปว่าได้ยังไงว่าเป็นกายเรา ฮึ ...นี่ต้องจับผิดนะ
มันเห็นผิดแล้วๆ ไม่ถูกนะ
เบื้องต้นก็ต้องฟังพระพุทธเจ้าก่อน
พระพุทธเจ้าว่าไม่ถูก ก็ต้องเชื่ออันนี้ไว้ก่อน
ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่กายเราน่ะ แล้วจะมาบอกว่ากายเรา
นี่ต้องจับผิดมันให้ได้ ...มันไปผิดตรงไหนๆ แล้วมันไปผิดกับอะไรอีก อันนี้ มันก็ไล่จับผิดไปเรื่อย
จับผิดตัวเองนะ …จนเห็นว่า อ๋อ
ทั้งหมดน่ะมันมาจากไหน ออกมาจากที่ไหน
เหมือนกับเจอตาน้ำน่ะ
ว่าน้ำในมหาสมุทร ทั้งหมดนี่ที่มา ที่มีน้ำ มาจากต้นน้ำหรือตาน้ำอันเดียว
มีที่เดียว ...นั่น งานมันจะต้องถึงตรงนั้น
และงานนั้นงานเดียว งานสุดท้าย
เป็นงานง่ายแล้ว ไม่หลายเรื่องไม่หลายสิ่งแล้ว ทุกสิ่งรวมลงเป็นหนึ่ง
ธรรมรวมลงเป็นหนึ่ง เกิดดับในที่เดียวกัน เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆ
สติปัญญามันทันถึงขนาดนั้น ปึง-ดับ
ปึง-ดับ ...ดับเองนะ ไม่ใช่ไปทำตั้งใจหรือว่าบังคับให้มันดับนะ พอรู้ปึ้บ ปึ้บขาด
รู้ปึ้บ ปึ้บขาด
ขาดจากความคิด ขาดจากกิเลส
ขาดจากตัณหา วิภวตัณหา ขาดจากราคะ ขาดจากโทสะ ขาดจากโมหะ ไม่ว่าอะไรขยับขึ้นมา
ปึ้ง...ขาด ขาดตรงนั้น ดับตรงนั้นในที่เดียวเลย
เขาเรียกว่าคมมั้ยล่ะมีดน่ะ...ไม่ทื่อ …ไอ้พวกเรานี่ สันขวาน โกรธ...รู้
ไม่เห็นมันดับซักทีนึง อยาก...มีราคะ รู้ว่ามีราคะ ทำไมมันไม่ดับซักที
อยู่ได้เป็นวัน ...มันสันขวานไง มันไม่ขาด
ก็ต้องหน้าด้าน มันหน้าด้านอยู่
กูก็หน้าด้านรู้ เอาดิ ...อย่างนั้นน่ะ อดทน ต้องอยู่กับความอดทนแล้ว ไม่แก้ไม่หนี
ไม่ปรุงไม่ต่อ ไม่แต่งไม่เติม ไม่เพิ่มไม่ลด ...นั่น เป็นกลาง
นี่ ปัญญา ว่ากันแบบโง่ๆ เลยแหละ
ไม่ต้องพิจารณาอะไรน่ะ ไม่มันตายก็กูตาย เอาดิ ใครจะแน่กว่ากัน ...ถ้ามันมาห้า
ก็บอกว่าสิบมีมั้ย ถ้ามันมาสิบก็บอกว่าร้อยมีมั้ย ถ้ามาร้อยบอกว่าหมื่นมีมั้ย
นี่ มันต้องให้ใหญ่กว่ากันอย่างนั้น...กำลังน่ะ กำลังที่จะต้านทานกับมัน อดทนน่ะ …ไม่ใช่มาสิบ
อู้ย นี่มาเป็นล้านเลยรึวะ ตายห่าเลยกู
ของจริงนี่แค่สิบ ก็..."ตายแล้วๆ ไม่ไหวแล้ว
ต้องแย่แล้ว" หาซุกหัวซุกหางหนีอุตลุดกันไปหมดเลย ...โอ้ยนี่ถ้ามันมาซักยี่สิบ
เพิ่มมาอีกเท่านี่ อู้ยยอมตายชักดิ้นชักงอแล้ว
ใจมันอ่อน สติมันอ่อน
กำลังมันไม่ตั้งมั่นหน้าด้านหน้าทน อดทนอยู่กับมันด้วยความเป็นกลาง ...ดูสิ นั่งสมาธิขัดสมาธิเพชรห้านาทีสิบนาที..."ตายแล้วๆๆ เดี๋ยวพิการแน่เลย"
"เดี๋ยวขาเราออกไปมันจะต้องเดินไม่คล่องไปอีกหลายปีเลยนะนี่
เดี๋ยวมันจะเส้นเลือดขอด เดี๋ยวมันจะพิการ ต่อไปแล้วเราจะใช้ไม่สะดวก" ...มันจะมีข้ออ้างข้อแม้ของมันอยู่ตลอดน่ะ
สุดท้ายก็...สมยอมกับมัน เอาออกซะเลย ...สำเร็จมรรคและผล...ของจิตนะ
ไม่ได้สำเร็จนิพพานธาตุนิพพานธรรม สำเร็จตามมรรคผลของจิตมันว่า
มันก็เลยเกิดภาวะมรรคผลแบบนึง
เรียกว่ามรรคผลแบบซ้ำซากน่ะ เกิดใหม่ๆ เดี๋ยวก็เกิดอารมณ์นี้ใหม่
เดี๋ยวก็เกิดอาการนี้ใหม่ ...มันไม่ขาดนี่ มันไม่หมดไปนี่ มันไม่ตายลงไปในดาบเดียว
ปัญญามันยังทื่ออยู่
มันเลยตัดอะไรไม่ขาด พอทุบๆๆ มันมาก มันหันหน้ามาแว้งกัดมั่ง เสร็จ ยอมมัน
ยอมแพ้แล้ว เสือกมาทุบกูทำไม กูเจ็บ มันก็เอาคืน กิเลสเอาคืนนะ หวน
เห็นมั้ยถ้าปัญญามันเฉียบแหลมเฉียบคมนี่
ฟันตรงไหน อย่างน้อยได้เลือดน่ะ ไม่ขาดก็ได้เลือดน่ะ ต่อไม่ติดน่ะ ถึงต่อไม่ติด
ไม่ทันตาย แต่ว่าไม่โตน่ะ เอาดิ ...มันบั่นกันลงไปอย่างนั้นน่ะ
ปัญญานิด ปัญญาหน่อย แม้จะทื่อขนาดไหน
แต่มันเฉือนเข้าไปในเลือดเนื้อของมันแล้ว ความโยงใยผูกพันด้วยความไม่รู้ มันขาด
ต่อไปก็ขาด...ไม่ขาดวันใดก็วันหนึ่งน่ะ
แต่พวกเรานี่ไม่ขาด แถมยังสนับสนุนประคับประคองอุ้มชูกันต่อไปน่ะ...มีรึมันจะไม่เติบใหญ่แข็งกล้า ...เสนอมันเข้าไป สนองมันเข้าไป มันอยากอะไรได้อะไร
มันอยากให้ทำอะไร
มันอยากจะบอกให้ทำอะไร ให้หาอะไร
ตามมันต้อยๆๆ ...เป็นเบ๊เหรอ เป็นกุลีกุจอให้เขาตลอดเวลา มีรึมันจะเหือดแห้งหายไปหรือว่าไม่เติบใหญ่กล้าหาญ
กิเลสมันก็เลยถูกเลี้ยงดูโดยความไม่รู้ของเรานั่นแหละ
สนับสนุนตัวเองให้กิเลสมันพอกพูนขึ้นมา
ไม่ได้เป็นไปเพื่อการละวางจางคลายแต่ประการใด
ภาวนาคือการละ ปล่อย วาง จางคลายลง ...เริ่มต้นง่ายๆ คือความคิด
ความอยากนี่แหละ ให้มันน้อย…อะไรๆ
ก็คิด อะไรๆ ก็หา อะไรๆ ก็สงสัย
ไอ้พวกนี้ให้มันน้อย ...ถึงห้ามไม่ได้ แต่อย่าไปตามมัน เชื่อมันจนเกิน ...หาที่หลัก หาที่มั่น หาที่ยึดไว้ คือสติสมาธิให้ยึดไว้ มั่นไว้กับกาย ยืนเดินนั่งนอน
ไอ้พวกนี้ให้มันน้อย ...ถึงห้ามไม่ได้ แต่อย่าไปตามมัน เชื่อมันจนเกิน ...หาที่หลัก หาที่มั่น หาที่ยึดไว้ คือสติสมาธิให้ยึดไว้ มั่นไว้กับกาย ยืนเดินนั่งนอน
เอาวะ เอาแค่นี้ล่ะวะ กูไม่ได้อะไร
กูไม่เอาอะไรตามที่จิตมันบอก ...เอาวะ ดูซิ ใครจะเหนือใคร แพ้ก็แพ้กันไป ชนะก็ชนะ
แพ้ก็เอาใหม่ นั่น ซ้ำซากอยู่อย่างนี้
มันต้องมีวันนึงน่ะที่หลุดพ้น เอาเหอะ
ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ...แต่มันต้องทำจริงๆ แค่ฟังไม่ได้ ...มาขอบารมีก็ไม่ให้
กูไม่ให้ใคร ทำเอาเอง มีมือมีตีน ...เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกคนน่ะ ไปทำเอา
ทำได้ทุกคนน่ะถ้าทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ ...ต่อให้มาจากสวรรค์ลงจากราชรถมาคลอดเลยก็ตาม ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้
มันจะวิเศษวิโสมาจากไหนไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ทำแล้วไม่ได้ ไม่ว่าใครต้องทำทั้งนั้น
ทำให้มาก เจริญให้มาก
ไม่ต้องกลัวว่ามันมากไป ...เรากลัวอย่างเดียวว่ามันน้อยไป
น้อยไปแล้วมักจะอยู่กับความคิดเข้าข้างตัวเองว่า ก็ทำอยู่น่ะ เดี๋ยวนี้ก็ทำอยู่
นี่มันโกหกตัวเองนะนั่นน่ะ
อย่าไปเชื่อมัน …ทำเอาจนจิตน่ะมันไม่พูดอะไรเลยนั่นแหละ
เหลือแต่รู้กับเห็นน่ะ จิตไม่มีได้แอะได้เออะ ได้หือได้อือออกมา
นั่นน่ะ ถึงจะไว้วางใจได้ในระดับนึง
คือเท่าทันจิต ...แล้วจะรู้ว่าตอนนั้นแหละ เหอะ
ความสุขที่ไม่มีความคิดนั้นมีอยู่จริงว่ะ
เมื่อใดที่หมดสิ้นจากความคิด
แม้จะชั่วคราวขนาดไหนก็ตาม แล้วมันเป็นการหมดความคิดในลักษณะไม่ได้บังคับกดข่ม
จะรู้เลยว่า โอ เป็นสุขที่ยิ่งกว่าสุขทั้งหลายทั้งปวงที่เคยเสพมา
สุข สงบ สันติ เป็นอิสระ เป็นสันติ …พวกเรายังไม่เข้าใจคำว่าอิสระจากสันติภายในมากจนถึงเข้าใจสภาวะของจิต
ที่มันวาง มันหลุด และมันพ้นออกจากขันธ์ ออกจากธรรมที่ห่อหุ้มกายใจนี้
เมื่อเข้าไปเสพสภาวะที่หลุดพ้นหรือเป็นอิสระจากขันธ์แม้ขณะหนึ่ง
แม้ชั่วคราวหนึ่ง หลุดพ้นออกจากธรรมที่ล้อมรอบตัวขันธ์นี่ ...จะรู้เลยว่า โอ้
ไม่ธรรมดาเลย
นี่ ไม่ธรรมดาเลยนะ แค่ไอ้ที่เรียกว่าหลุดพ้น
แม้จะเป็นขณิกะหนึ่ง ขณะหนึ่ง แม้จะเป็นอุปจารหนึ่ง แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาวันเดือนปีหนึ่ง
ขันธ์ห้า...ทุกคน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร
ไม่มีใครต่ำกว่าใคร เสมอกัน สองขา สองแขน หัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง ใจอีกหนึ่งดวง
พร้อมกันหมด เท่ากันหมด
จุดสตาร์ทเดียวกัน
ออกจากท้องแม่ปึ้งเดียวนี่ มันเริ่มจุดสตาร์ทแล้ว ที่เดียวกันหมดเลย
ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ไม่มีใครช้าไม่มีใครเร็วกว่าใคร
อยู่ที่ว่า จะตรงลงในองค์มรรคมั้ย
จะสืบค้นทวนความลงในองค์มรรคมั้ย หรือว่าระหว่างที่ออกมาแล้ว
เริ่มออกจากจุดสตาร์ทแล้ว มันหลงใหลเผลอเพลินไปตลอดทาง ...นั่นน่ะคือความช้าและเร็ว
ของแต่ละสัตว์บุคคล
เอ้า เอาแล้ว เอาพอเข้าใจ
แล้วให้ไปทำเยอะๆ อย่าขี้เกียจ อย่ากลัวว่ามันมากเกิน ...ไอ้นอนกับกินกับคุยน่ะมันเกินแล้ว
ไอ้นั่นน่ะเกิน ไอ้สตินี่น้อยยย จน แหม่ มันเหมือนกับต้องไปค้นอยู่ในโลกันตร์ธาตุ
อันไหนมันน้อยก็ทำให้มันมาก
อันไหนมันมากก็ทำให้มันน้อยลง อันไหนน้อยลงแล้วก็ทำให้มันหมดไปสิ้นไป...ไปไม่เกิดไม่ตาย อย่าไปไปเกิดไปตาย
ถ้าจะไปน่ะไปแบบไม่เกิดไม่ตาย ...อย่าไปหาเรื่องไปเกิดไปตาย มันจะมีเรื่องให้ไปเกิดไปตายอยู่เรื่อยน่ะ
ถ้าจะไปน่ะไปแบบไม่เกิดไม่ตาย ...อย่าไปหาเรื่องไปเกิดไปตาย มันจะมีเรื่องให้ไปเกิดไปตายอยู่เรื่อยน่ะ
.............................