วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 7/31 (3)


พระอาจารย์
7/31 (550411C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 เมษายน 2555
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 7/31  ช่วง 2


พระอาจารย์ –  เรียนรู้ อะไรเกิดขึ้น อะไรดับไป อะไรเกิดขึ้น อะไรตั้งอยู่ อะไรดับไป ...อ๋อ แต่ก่อนไม่เคยเห็น ทำไมมันไม่เห็นวะ ทำไมตอนนี้เห็นได้ อ่อ มันเห็น ทั้งๆ ที่มันเคยมี มันเคยแสดง แต่ไม่เคยเห็น

แล้วมันจะมาเรียนรู้ไอ้สิ่งที่มันซ้ำซาก ...คือเหมือนกับตาเราไม่ดีน่ะ ทีนี้มาตัดแว่นใส่ ก็เหมือนคนแก่ใส่แว่น ...แต่ก่อนมันไม่ได้ใส่แว่น มันมองไม่เห็น

มีอยู่ ใช้อยู่ แล้วก็ทำไปตามอำนาจของมันโดยไม่เห็นเลยว่าเราทำไปกับมันได้ยังไง ...อ้อ พอมาส่องไป ดูไปดูมา อ้าว มันอย่างนี้นี่เอง อ๋อๆๆ รายละเอียดเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น

มันก็ทำแบบเก่านั่นแหละ...กายใจ ในกายในใจเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ ไม่ได้ไปหา ไปสร้างไปทำขึ้นมาใหม่ตรงไหน มันดูของที่มีอยู่ในกายใจนี่แหละ ...แต่แต่ก่อนมันไม่เห็นน่ะ มันโง่ ตาไม่ดี

นี่ ตามันก็ดีขึ้น ญาณทัสสนะมันก็แจ่มชัดขึ้น ไอ้ที่เล็ดรอดไป ไอ้ที่เคยเล็ดรอดไป หรือว่ามันแอบเกลือกกลั้ว ปนเปื้อน หรือว่าซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบแล้วมันก็คอยชี้นิ้วบงการ ...มันเห็นหมด

เรียกว่ามันเกิดภาวะที่เรียกว่าเข้าไปล้างเผ่าพันธุ์ ถึงขั้นตายยกคลอกน่ะ นั่น ยังไม่หมดเวลาเลยนั่น มันละเอียดจนสุดละเอียดน่ะ ก็อยู่ในนี้อีกเหมือนเดิมน่ะ ไม่ได้ออกนอกนี้เลย

แต่ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ เราไม่เห็นอะไรซักอย่างน่ะ ...ตาไม่ดี ตามันยังไม่ดี มันมองไม่เห็น แต่ความผิดของคนอื่นน่ะเท่าภูเขา ไอ้ความผิดเรานี่มองไม่เห็น

เหมือนกันน่ะ เวลาเรามาอยู่ในกายใจนี่มองไม่เห็น...เหมือนไม่มีอะไรซักอย่างเลย ไม่มีอะไรให้ดูเลย น่าเบื่อ ไม่เห็นมีอะไร

แต่มันคอยไปสอดส่องใครจะทำอะไร นั่น ใครจะเดินท่าไหน ใครจะพูดอย่างไร ใครจะทำเรื่องราวนั้นอย่างงี้อย่างโง้น ...มันคอยส่องออกไปข้างนอก ข้างหน้า ข้างหลังอยู่อย่างนั้น

มันไม่ส่องลงตรงนี้ ญาณเขามีให้ส่องอยู่ภายใน ไม่ได้ไปส่องคนอื่น ไอ้ส่องคนอื่นน่ะส่องด้วยกิเลส ส่องด้วยความอยาก ส่องด้วยความคาดค้นเพื่อจะไปจับผิด

ให้มาจับผิดตัวเอง จับผิดตัวเอง...กายใจ อะไรเป็นกาย ไปว่าได้ยังไงฮึ ไปว่าได้ยังไงว่าเป็นกายเรา ฮึ ...นี่ต้องจับผิดนะ มันเห็นผิดแล้วๆ ไม่ถูกนะ

เบื้องต้นก็ต้องฟังพระพุทธเจ้าก่อน พระพุทธเจ้าว่าไม่ถูก ก็ต้องเชื่ออันนี้ไว้ก่อน ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่กายเราน่ะ แล้วจะมาบอกว่ากายเรา

นี่ต้องจับผิดมันให้ได้ ...มันไปผิดตรงไหนๆ แล้วมันไปผิดกับอะไรอีก อันนี้ มันก็ไล่จับผิดไปเรื่อย จับผิดตัวเองนะจนเห็นว่า อ๋อ ทั้งหมดน่ะมันมาจากไหน ออกมาจากที่ไหน

เหมือนกับเจอตาน้ำน่ะ ว่าน้ำในมหาสมุทร ทั้งหมดนี่ที่มา ที่มีน้ำ มาจากต้นน้ำหรือตาน้ำอันเดียว มีที่เดียว ...นั่น งานมันจะต้องถึงตรงนั้น

และงานนั้นงานเดียว งานสุดท้าย เป็นงานง่ายแล้ว ไม่หลายเรื่องไม่หลายสิ่งแล้ว ทุกสิ่งรวมลงเป็นหนึ่ง ธรรมรวมลงเป็นหนึ่ง เกิดดับในที่เดียวกัน เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆ

สติปัญญามันทันถึงขนาดนั้น ปึง-ดับ ปึง-ดับ ...ดับเองนะ ไม่ใช่ไปทำตั้งใจหรือว่าบังคับให้มันดับนะ พอรู้ปึ้บ ปึ้บขาด รู้ปึ้บ ปึ้บขาด

ขาดจากความคิด ขาดจากกิเลส ขาดจากตัณหา วิภวตัณหา ขาดจากราคะ ขาดจากโทสะ ขาดจากโมหะ ไม่ว่าอะไรขยับขึ้นมา ปึ้ง...ขาด ขาดตรงนั้น ดับตรงนั้นในที่เดียวเลย

เขาเรียกว่าคมมั้ยล่ะมีดน่ะ...ไม่ทื่อไอ้พวกเรานี่ สันขวาน โกรธ...รู้ ไม่เห็นมันดับซักทีนึง อยาก...มีราคะ รู้ว่ามีราคะ ทำไมมันไม่ดับซักที อยู่ได้เป็นวัน ...มันสันขวานไง มันไม่ขาด

ก็ต้องหน้าด้าน มันหน้าด้านอยู่ กูก็หน้าด้านรู้ เอาดิ ...อย่างนั้นน่ะ อดทน ต้องอยู่กับความอดทนแล้ว ไม่แก้ไม่หนี ไม่ปรุงไม่ต่อ ไม่แต่งไม่เติม ไม่เพิ่มไม่ลด ...นั่น เป็นกลาง

นี่ ปัญญา ว่ากันแบบโง่ๆ เลยแหละ ไม่ต้องพิจารณาอะไรน่ะ ไม่มันตายก็กูตาย เอาดิ ใครจะแน่กว่ากัน ...ถ้ามันมาห้า ก็บอกว่าสิบมีมั้ย ถ้ามันมาสิบก็บอกว่าร้อยมีมั้ย ถ้ามาร้อยบอกว่าหมื่นมีมั้ย

นี่ มันต้องให้ใหญ่กว่ากันอย่างนั้น...กำลังน่ะ กำลังที่จะต้านทานกับมัน อดทนน่ะ ไม่ใช่มาสิบ อู้ย นี่มาเป็นล้านเลยรึวะ ตายห่าเลยกู

ของจริงนี่แค่สิบ ก็..."ตายแล้วๆ ไม่ไหวแล้ว ต้องแย่แล้ว" หาซุกหัวซุกหางหนีอุตลุดกันไปหมดเลย ...โอ้ยนี่ถ้ามันมาซักยี่สิบ เพิ่มมาอีกเท่านี่ อู้ยยอมตายชักดิ้นชักงอแล้ว

ใจมันอ่อน สติมันอ่อน กำลังมันไม่ตั้งมั่นหน้าด้านหน้าทน อดทนอยู่กับมันด้วยความเป็นกลาง ...ดูสิ นั่งสมาธิขัดสมาธิเพชรห้านาทีสิบนาที..."ตายแล้วๆๆ เดี๋ยวพิการแน่เลย"

"เดี๋ยวขาเราออกไปมันจะต้องเดินไม่คล่องไปอีกหลายปีเลยนะนี่ เดี๋ยวมันจะเส้นเลือดขอด เดี๋ยวมันจะพิการ ต่อไปแล้วเราจะใช้ไม่สะดวก" ...มันจะมีข้ออ้างข้อแม้ของมันอยู่ตลอดน่ะ

สุดท้ายก็...สมยอมกับมัน เอาออกซะเลย ...สำเร็จมรรคและผล...ของจิตนะ ไม่ได้สำเร็จนิพพานธาตุนิพพานธรรม สำเร็จตามมรรคผลของจิตมันว่า

มันก็เลยเกิดภาวะมรรคผลแบบนึง เรียกว่ามรรคผลแบบซ้ำซากน่ะ เกิดใหม่ๆ เดี๋ยวก็เกิดอารมณ์นี้ใหม่ เดี๋ยวก็เกิดอาการนี้ใหม่ ...มันไม่ขาดนี่ มันไม่หมดไปนี่ มันไม่ตายลงไปในดาบเดียว

ปัญญามันยังทื่ออยู่ มันเลยตัดอะไรไม่ขาด พอทุบๆๆ มันมาก มันหันหน้ามาแว้งกัดมั่ง เสร็จ ยอมมัน ยอมแพ้แล้ว เสือกมาทุบกูทำไม กูเจ็บ มันก็เอาคืน กิเลสเอาคืนนะ หวน

เห็นมั้ยถ้าปัญญามันเฉียบแหลมเฉียบคมนี่ ฟันตรงไหน อย่างน้อยได้เลือดน่ะ ไม่ขาดก็ได้เลือดน่ะ ต่อไม่ติดน่ะ ถึงต่อไม่ติด ไม่ทันตาย แต่ว่าไม่โตน่ะ เอาดิ ...มันบั่นกันลงไปอย่างนั้นน่ะ

ปัญญานิด ปัญญาหน่อย แม้จะทื่อขนาดไหน แต่มันเฉือนเข้าไปในเลือดเนื้อของมันแล้ว ความโยงใยผูกพันด้วยความไม่รู้ มันขาด ต่อไปก็ขาด...ไม่ขาดวันใดก็วันหนึ่งน่ะ

แต่พวกเรานี่ไม่ขาด แถมยังสนับสนุนประคับประคองอุ้มชูกันต่อไปน่ะ...มีรึมันจะไม่เติบใหญ่แข็งกล้า ...เสนอมันเข้าไป สนองมันเข้าไป มันอยากอะไรได้อะไร มันอยากให้ทำอะไร

มันอยากจะบอกให้ทำอะไร ให้หาอะไร ตามมันต้อยๆๆ ...เป็นเบ๊เหรอ เป็นกุลีกุจอให้เขาตลอดเวลา  มีรึมันจะเหือดแห้งหายไปหรือว่าไม่เติบใหญ่กล้าหาญ

กิเลสมันก็เลยถูกเลี้ยงดูโดยความไม่รู้ของเรานั่นแหละ สนับสนุนตัวเองให้กิเลสมันพอกพูนขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อการละวางจางคลายแต่ประการใด

ภาวนาคือการละ ปล่อย  วาง จางคลายลง ...เริ่มต้นง่ายๆ คือความคิด ความอยากนี่แหละ ให้มันน้อยอะไรๆ ก็คิด อะไรๆ ก็หา อะไรๆ ก็สงสัย 

ไอ้พวกนี้ให้มันน้อย ...ถึงห้ามไม่ได้ แต่อย่าไปตามมัน เชื่อมันจนเกิน ...หาที่หลัก หาที่มั่น หาที่ยึดไว้ คือสติสมาธิให้ยึดไว้ มั่นไว้กับกาย ยืนเดินนั่งนอน

เอาวะ เอาแค่นี้ล่ะวะ กูไม่ได้อะไร กูไม่เอาอะไรตามที่จิตมันบอก ...เอาวะ ดูซิ ใครจะเหนือใคร แพ้ก็แพ้กันไป ชนะก็ชนะ แพ้ก็เอาใหม่ นั่น ซ้ำซากอยู่อย่างนี้

มันต้องมีวันนึงน่ะที่หลุดพ้น เอาเหอะ ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ...แต่มันต้องทำจริงๆ แค่ฟังไม่ได้ ...มาขอบารมีก็ไม่ให้ กูไม่ให้ใคร ทำเอาเอง มีมือมีตีน ...เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกคนน่ะ ไปทำเอา

ทำได้ทุกคนน่ะถ้าทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ ...ต่อให้มาจากสวรรค์ลงจากราชรถมาคลอดเลยก็ตาม ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ มันจะวิเศษวิโสมาจากไหนไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ทำแล้วไม่ได้ ไม่ว่าใครต้องทำทั้งนั้น

ทำให้มาก เจริญให้มาก ไม่ต้องกลัวว่ามันมากไป ...เรากลัวอย่างเดียวว่ามันน้อยไป น้อยไปแล้วมักจะอยู่กับความคิดเข้าข้างตัวเองว่า ก็ทำอยู่น่ะ เดี๋ยวนี้ก็ทำอยู่

นี่มันโกหกตัวเองนะนั่นน่ะ อย่าไปเชื่อมันทำเอาจนจิตน่ะมันไม่พูดอะไรเลยนั่นแหละ เหลือแต่รู้กับเห็นน่ะ จิตไม่มีได้แอะได้เออะ ได้หือได้อือออกมา

นั่นน่ะ ถึงจะไว้วางใจได้ในระดับนึง คือเท่าทันจิต ...แล้วจะรู้ว่าตอนนั้นแหละ เหอะ ความสุขที่ไม่มีความคิดนั้นมีอยู่จริงว่ะ

เมื่อใดที่หมดสิ้นจากความคิด แม้จะชั่วคราวขนาดไหนก็ตาม แล้วมันเป็นการหมดความคิดในลักษณะไม่ได้บังคับกดข่ม จะรู้เลยว่า โอ เป็นสุขที่ยิ่งกว่าสุขทั้งหลายทั้งปวงที่เคยเสพมา

สุข สงบ สันติ เป็นอิสระ เป็นสันติ พวกเรายังไม่เข้าใจคำว่าอิสระจากสันติภายในมากจนถึงเข้าใจสภาวะของจิต ที่มันวาง มันหลุด และมันพ้นออกจากขันธ์ ออกจากธรรมที่ห่อหุ้มกายใจนี้

เมื่อเข้าไปเสพสภาวะที่หลุดพ้นหรือเป็นอิสระจากขันธ์แม้ขณะหนึ่ง แม้ชั่วคราวหนึ่ง หลุดพ้นออกจากธรรมที่ล้อมรอบตัวขันธ์นี่ ...จะรู้เลยว่า โอ้ ไม่ธรรมดาเลย

นี่ ไม่ธรรมดาเลยนะ แค่ไอ้ที่เรียกว่าหลุดพ้น แม้จะเป็นขณิกะหนึ่ง ขณะหนึ่ง แม้จะเป็นอุปจารหนึ่ง แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาวันเดือนปีหนึ่ง

ขันธ์ห้า...ทุกคน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร เสมอกัน สองขา สองแขน หัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง ใจอีกหนึ่งดวง พร้อมกันหมด เท่ากันหมด

จุดสตาร์ทเดียวกัน ออกจากท้องแม่ปึ้งเดียวนี่ มันเริ่มจุดสตาร์ทแล้ว ที่เดียวกันหมดเลย ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ไม่มีใครช้าไม่มีใครเร็วกว่าใคร

อยู่ที่ว่า จะตรงลงในองค์มรรคมั้ย จะสืบค้นทวนความลงในองค์มรรคมั้ย หรือว่าระหว่างที่ออกมาแล้ว เริ่มออกจากจุดสตาร์ทแล้ว มันหลงใหลเผลอเพลินไปตลอดทาง ...นั่นน่ะคือความช้าและเร็ว ของแต่ละสัตว์บุคคล

เอ้า เอาแล้ว เอาพอเข้าใจ แล้วให้ไปทำเยอะๆ อย่าขี้เกียจ อย่ากลัวว่ามันมากเกิน ...ไอ้นอนกับกินกับคุยน่ะมันเกินแล้ว ไอ้นั่นน่ะเกิน ไอ้สตินี่น้อยยย จน แหม่ มันเหมือนกับต้องไปค้นอยู่ในโลกันตร์ธาตุ

อันไหนมันน้อยก็ทำให้มันมาก อันไหนมันมากก็ทำให้มันน้อยลง อันไหนน้อยลงแล้วก็ทำให้มันหมดไปสิ้นไป...ไปไม่เกิดไม่ตาย อย่าไปไปเกิดไปตาย 

ถ้าจะไปน่ะไปแบบไม่เกิดไม่ตาย ...อย่าไปหาเรื่องไปเกิดไปตาย มันจะมีเรื่องให้ไปเกิดไปตายอยู่เรื่อยน่ะ


.............................



วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 7/31 (2)


พระอาจารย์
7/31 (550411C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 เมษายน 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 7/31  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ถ้าถามทุกคน ตัวทุกคนเองจะตอบว่า ยังมี...นับไม่ถ้วนเลย ที่มันยังมีอะไรๆ และยังไม่ได้ แล้วคาดว่าจะต้องได้ และกำลังหาอยู่

เห็นมั้ย มันจึงดูเหมือนอะไร ในชีวิตช่างยาวไกล การวนเวียนยังอีกนาน เห็นมั้ย เพราะมันยังมีอะไรที่มันคาดว่าจะมี แต่ยังไม่ได้...อีกเยอะ

แม้แต่ธรรม มันยังไปหมาย เหมาเอาธรรม ว่าเป็นสิ่งที่มันต้องได้เลย ...อย่าว่าแต่ขนมหวานที่อร่อย แม้แต่ธรรมมันยังคิดว่ามันต้องได้มาเสพ ได้มาครองเลย...ว่ากูได้นะ กูเห็นนะ

เพราะนั้นอายุเดียวหนึ่งเดียว ห้าสิบ ร้อยปีนี่...ไม่พอหรอกกับไอ้ที่มันอยากอยู่ภายในนี่ ...เข้าใจรึยังว่าชำระจิต ชำระเหตุภายใน ที่มันจะออกไปสร้างเหตุภายนอก

พระพุทธเจ้าสอน...ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นว่าธรรมอะไรก็ตามที่เข้ามาถึงความดับที่เหตุนั้น ...ท่านเรียกว่าพระพุทธเจ้าสอน

เหตุทั้งหลายทั้งปวงเกิดที่ใด เกิดจากอะไร ...เมื่อใดที่จับธรรมตรงนั้น ก็เรียกว่าจับงูที่หัวจับงูที่หัว จับงูที่ปาก มันกัดไม่ได้

ทุกวันนี้พวกเราแก้ปัญหาแบบจับงูที่หาง ...ก็โดนฉก  หนึ่ง...ถ้าตัวเองไม่โดนฉก สอง...มันจับแล้วมันก็โยนไปให้คนอื่น ไปฉกคนอื่น ...มีสองอย่าง มันแก้ปัญหาอย่างนั้น

แต่เมื่อใดที่เห็นเหตุและละที่เหตุได้น่ะ หมายความว่าจับงูที่หัว ปั้บ งูตาย กินอะไรก็ไม่ได้ กัดใครก็กัดไม่ได้ หาอาหารกินก็ไม่ได้ งูตาย...ตาย

งูใหญ่ งูเล็ก โอย มันมีหลายงู เอาให้อยู่ ...แต่มันก็มีหัวเดียวนั่นแหละ ไม่ว่างูไหน นั่นแหละ ถึงเรียกว่า จับที่มหาเหตุ ...มันจะเข้าไปถึงมหาเหตุตอนนั้น ต้องเป็นมหาสติและมหาปัญญา

มหาสติและมหาปัญญาก็เริ่มจากสติปัญญาขั้นพื้นฐานนี่แหละ ยืนเดินนั่งนอน...รู้ ยืนเดินนั่งนอน...รู้...รู้กับปัจจุบัน อะไรเกิดขึ้นรู้ อยู่กับรู้ รู้เข้าไว้

รู้บ่อยๆ ไม่มีอะไรก็รู้ นั่งเฉยๆ ก็รู้...รู้  ลมพัดก็รู้ อยากไปอยากมาก็รู้ ไม่อยากไปไม่อยากมาก็รู้ ...นั่น ฝึก ถือว่าเป็นการฝึก ให้มันมีสติที่มันพอกพูนขึ้นเป็นมหาสติในขั้นต่อไป

ในขณะที่ฝึกฝนอบรมขัดเกลาอยู่ด้วยสตินั่นแหละ ความรู้ความเข้าใจ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นพร้อมกันเองนั่นแหละ ไม่ต้องไปหาปัญญาที่อื่นที่ไหน วิธีการอื่นวิธีการไหน

วิธีการน่ะเยอะไปหมด งงน่ะ หลายอาจารย์นี่งงหมด หลายสำนัก ไอ้นั่นก็ดีกว่า ไอ้นั่นก็มาเสริมกัน...ไปๆ มาๆ ตีกัน งงไปหมด ไม่รู้อะไรดี ...สุดท้ายก็เลยไม่เอาแล้ว ขอพักก่อน ถอย ขอเวลานอก

สติ...รู้ตัว สติ...รู้ตัว รู้กาย อยู่กับกาย...อยู่กับรู้ สองอย่างแค่นั้นแหละ ...มีปัญหาอะไร คิดไม่ออก งง สับสน จับอะไรไม่ถูก รู้ตัวเข้าไว้ แก้ที่กาย อยู่ที่กาย

อยากจะแก้กายก็ต้องอยู่ที่กาย อยากจะแก้ใจก็ต้องอยู่ที่ใจ  มันผูกอยู่ตรงไหนมันก็ติดอยู่ตรงนั้น มันจะติดตรงไหน มันผูกตรงไหน...ก็ต้องละตรงนั้นน่ะ

ต้องแก้ตรงนั้นน่ะ จะไปแก้ที่ไหนล่ะ ...มันทุกข์ตรงไหนก็ดูมันตรงทุกข์นั่นแหละ ต้องดูมันตรงทุกข์นั่นแหละ ไม่ต้องไปดูที่อื่นน่ะ

มันมีความคิดก็รู้ว่าคิด มันอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องไปดูว่าความคิดมันจะดับตรงไหน มันก็ดับตรงที่คิดนั่นแหละ ทุกอย่างมันอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องไปหาที่อื่นแล้ว

มันแสดงธรรมอยู่ตรงนั้นเอง ไม่ได้บิดเบือน ปกปิด แอบแฝง ซ่อนเร้นแต่ประการใด ...เกิดตรงไหนมันตั้งอยู่ตรงนั้นแล้วมันก็ดับอยู่ตรงนั้น

เห็นมั้ยว่าความคิดมาจากไหน มาจากตรงไหนก็ไม่รู้ มันลอยๆ อยู่ เวลาดับมันก็หายไปตรงนั้นน่ะ ไม่เหลืออะไร ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย

กายก็เหมือนกัน ยืนเดินนั่งนอน ขยับไปแต่ละก้าว แต่ละขยับ แต่ละเขยื้อนน่ะ...การดับ การหยิบ การจับ นี่ วูบนึงหายไปแล้ว หายไปตรงนั้นน่ะ

อยู่อย่างนั้นน่ะ เรียนรู้ดูกับมัน ปัญญามันก็จะรอบรู้เข้าใจ จิตมันก็จดจ่ออยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน คือเกิดๆ ดับๆ ของมันไป ตั้งอยู่โดยไม่มีความเป็นสัตว์เป็นบุคคล

มาใหม่ๆ พระเณร กวาดใบไม้กวาดอะไรนี่  กวาดไปแต่ละครั้งๆ ตาเห็นรูป ไม่รู้ตัวก็ดูใบไม้ มันต้องดูทางดูใบไม้ ก็เห็นใบไม้เกิดๆ ดับๆ

วูบนึง...กวาด วูบนึง...รูปดับแล้ว กวาดไปวูบ...ดับ ใบไม้ที่กองอยู่เมื่อกี้ ปึ้บหาย ปึ้บหาย ...นั่น ดูไป ภายนอกก็รู้เป็นไตรลักษณ์ ภายในก็ดูเป็นไตรลักษณ์

ทุกอย่างก็แสดงความเป็นไตรลักษณ์ ยืนเดินนั่งนอน ...ระหว่างรอบนอกยืนเดินนั่งนอน มันก็แสดงอาการเป็นไตรลักษณ์ ...ไม่เห็นจะต้องไปซีเรียสค้นหาธรรมอะไรตรงไหน

นั่งอยู่ก็อะไรนั่ง ไม่มีอะไรนั่ง ไม่มีใคร มีแต่กองนึง มีใครนั่งล่ะ ดูมันลงไป รู้มันลงไป อย่ามัวแต่ไปคิดว่าธรรมต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมต้องเป็นอย่างนั้น

ผู้ที่ถึงธรรม เข้าถึงธรรมแล้ว เขาจะเป็นยังไงน้อ เขาจะเห็นเหมือนเราเห็นอย่างนี้มั้ยน้อ แล้วเราจะต้องทำยังไงถึงจะเห็นอย่างเขาหนอ ฮึย ไม่ต้องไปหนอไปแหนตรงโน้น ...เอาตรงนี้

อะไรมันนั่ง อะไรมันเดิน มันเป็นกองหรือมันเป็นเรา มันเป็นเราหรือมันเป็นของ มันเป็นของหรือมันเป็นแค่สิ่งหนึ่ง หรือมันเป็นแค่ธรรมดาหนึ่ง หรือมันเป็นแค่ธรรมชาติอันหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น

นี่ ดูมันลงไป สืบค้นลงไป ซ้ำซากลงไป พากเพียรลงไป มีมรรคและผลเป็นที่สุดท้ายตรงนี้ ...ถ้าออกนอกจากนี้ไป ไม่ต้องหา มีแต่เกิดกับตายเป็นที่พึ่ง ตายแล้วก็เกิด เป็นที่ต่อไป

แต่ถ้าอยู่ตรงนี้ ดูมันไป รู้มันไป เห็นมันไป เกิดๆ ดับๆ เห็นตั้งอยู่ไม่ได้เกิดไม่ได้ดับ แต่ก็ตั้งอยู่ด้วยความไม่มีความเป็นสัตว์เป็นบุคคล ดูมันเข้าไป

ที่สุดของการรู้การเห็นอย่างนี้คือนิพพาน ...ถ้าอยากเข้านิพพาน ถ้าอยากถึงนิพพาน ดูมันเข้าไป อยู่ตรงนี้เข้าไป สืบค้นตรงนี้ ไม่ต้องไปสืบค้นที่อื่น

แต่ในระหว่างที่สืบค้นอยู่ตรงนี้ ให้รู้ไว้เลยว่า ยังไงๆ มันจะมีจิตที่คอยแตกกระสานซ่านกระเซ็นออกมา...เป็นความคิด เป็นความอยาก อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน

เราจะต้องฝึกจนเท่าทัน ฝึกจนชนะ ฝึกที่จะไม่เอาอะไรกับจิตนั้น คือ ฝึกที่จะเรียนรู้ในการปล่อยวางจิตไปด้วย ...วางก็คือไม่เอา วางก็คือไม่ไปจดจ่ออยู่กับมัน

วางก็คือไม่ทำตามมัน วางก็คือไม่เข้าไปค้นหาความเป็นจริงกับมัน ...นั่นแหละเขาเรียกว่าเรียนรู้กายใจแล้วมันจะปล่อยวาง เรียนรู้การปล่อยวางจิตไป

ระหว่างที่เราปล่อยวางจิตน่ะ เราจะออกจากพันธนาการของจิต หรือออกจากความเป็นทาสของจิตคิด จิตปรุง จิตอยาก จิตไม่อยาก ...ตอนนี้เราเป็นทาสมัน เหมือนเราติดยาเสพติดน่ะ

พอมันอยากปุ๊บ...ไป พอมันอยากปุ๊บ...ต้องทำ พอมันคิดปุ๊บ ต้องเข้าไปทำตามความคิด เหมือนติดยาเสพติด มันเป็นเครื่องล่อ แล้วเราก็ติด ก็เสพมันอยู่ตลอดเวลา

เวลาเราจะไม่ทำตามมัน ไม่เข้าไปเสพกับมัน ไม่เชื่อมันนี่ ...มันเหมือนกับคนติดยาบ้า มันมีอาการ...อื้อ เสียดาย อาลัยอาวรณ์  มันเหมือนกับว่าขัดๆ เขินๆ ในการที่จะละวางจางคลายจากมัน

ก็ต้องหักอกหักใจกันแล้ว ...ถ้าในลักษณะที่ปฏิโลมหรือว่าอ่อนโยนก็...เออ อาจารย์บอกว่าอย่าไปฟังมัน ก็นึกน้อมไปว่าไม่เอาๆ ...นี่ เรียกว่าเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

ถ้าไม่นั่นก็ต้องไม้แข็งแล้ว...หักดิบ ไม่เอาก็คือไม่เอา มันจะตายซะก็ให้มันตายไปเลย จะไม่คิดตามมัน จะไม่เชื่อมัน ...แต่ว่าถ้ายังไงๆ ก็ต้องมีหลักให้มันตั้ง...คือกาย กลับมาอยู่กับกายไว้เป็นหลัก

ในขณะที่กลับมาอยู่กับกายแล้ว มันก็ยังอยู่...ความคิดก็ยังอยู่ อารมณ์ก็ยังอยู่ ความโกรธ ความขุ่น ความทะเยอทะยานภายใน ยังมีอยู่ ...ช่างหัวมัน

เหมือนอยู่กันคนละโลกน่ะ อย่าไปอยู่ในโลกเดียวกับมัน ...คนละมิติกัน เอ้า กายใจคนละมิติกับความคิด รูปนามกับรู้...คนละมิติกัน

แยกกันออก ทำการสังเคราะห์กายใจ ให้มันเห็นว่ามันเป็นคนละส่วนกัน  มันก็อยู่...กายก็อยู่อย่างนี้ จิตปรุงจิตแต่ง ถึงจะไม่ดับ ถึงจะไม่ละ แต่ว่ามันก็มีของมันอยู่อย่างนี้

แต่จะมีตัวที่ตั้งมั่นอยู่กับการเห็น อยู่ตรง...อาการตรงนี้ก็เห็น อาการตรงนี้ก็เห็น...อยู่อย่างนี้ ...ไม่มีอาการตรงนี้เข้าไปมีเข้าไปปนเปื้อนอยู่กับอะไร ไม่เลื่อนไม่เคลื่อนออกไปอยู่ในมัน

นี่คือแบบฝึกหัด เป็นแบบฝึกหัด เป็นสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ เป็นสิ่งที่จะต้องน้อมนำเอาไปฝึก ...ไอ้ความชำนาญจัดเจนในวิชาชีพ ในการพูดการสรรหาเรื่องกินเรื่องเที่ยวน่ะไม่ต้องไปเรียนแล้ว

เราไม่ต้องสอน เราไม่สอน เราสอนวิธีการนี้ ให้เอาไปฝึก ...เพราะพวกเราไม่ค่อยเรียนรู้เรื่องพวกนี้กัน ยังโง่อยู่ในแบบฝึกหัดนี้ ยังไม่ฉลาด

พอมันทำไป มันก็เจอข้อสอบยาก...ก็ โอ้ย เหนื่อยว่ะ เห็นมั้ย มันธรรมดา เอาใหม่ ...มันเบื่อ มันน่าเบื่อมากๆ เลย แต่มันเป็นแบบฝึกหัดที่เราจะต้องไปเรียนรู้

เพราะมันเป็นโจทย์ที่เรียกว่าเป็นปริศนาธรรม ที่จะไขเข้าไปสู่ประตูธรรม หรือประตูมรรคผลนิพพาน  ถ้าไม่ผ่านข้อสอบแบบฝึกหัดนี้ ไม่มีทางเปิดประตู เพื่อให้เห็นทางหรือว่ามรรค

เมื่อไม่ได้เปิดประตูไม่เห็นทางไม่เห็นมรรคนี่ มันจะเดินไปนิพพานได้ยังไง ...แล้วถ้าไม่ทำข้อสอบแล้วไม่ผ่านได้กุญแจมาเป็นรางวัลแล้วไปไขประตูมรรค

มรรคไม่ได้มีเป็นสาธารณะ ที่จะมาจับจ่ายซื้อเอาเหมือนกับของในตลาดที่มีเงินก็ไปซื้อหาได้ ...อย่านึกว่าติดสินบน หรือทำบุญแล้วมันจะเปิดประตูมรรคนะ หรือไปอ้อนวอนร้องขอบนบานศาลกล่าว 

หรือขอบุญบารมีของพระอริยะทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน ก็เปิดประตูนี้ไม่ได้ ...ต้องทำแบบฝึกหัดนี้ อันนี้เป็นข้อสอบที่กำหนดโดยธรรมชาติ หรือความเป็นจริง ไม่ใช่มีใครเป็นคนออกข้อสอบนี้

ต้องฝ่าฟันใช้เรี่ยวแรงน้ำพักน้ำแรงของเจ้าของ อดอยากตรากตรำ ขบคิด เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ได้ดั่งใจ เรียนรู้มันซ้ำแล้วซ้ำอีก ...มันถึงจะผ่านบททดสอบแบบฝึกหัดอันนี้

พอเปิดประตูเข้าไปในมรรค หรือว่า เออ เห็นทางว่าใช่ เห็นทางว่าชัด...เฮ้อ  มันจะร้องว่า เฮ้อ สักที ...แค่ เฮ้อ ยังไม่หยุดนะ ยังต้องเดินต่ออีก

แต่ว่ามันเหมือนกับได้หายใจหายคอ เฮ้อ สักที ประมาณนั้น ...แล้วก็ก้มหน้าก้มตา งุดๆๆๆ เดินไปในองค์มรรค คืออยู่ในนี้ กาย-ใจ


(ต่อแทร็ก 7/31  ช่วง 3)



วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 7/31 (1)


พระอาจารย์
7/31 (550411C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 เมษายน 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เบื้องต้นน่ะมันยาก...การภาวนา เพราะว่ามันติดกับการที่จะไปเอาชนะนิสัยเดิม คือขี้เกียจ...แล้วก็ปล่อย ขี้เกียจแล้วก็ปล่อย

แล้วก็ไม่ทัน...เวลาโกรธ ไม่ทัน...เวลามีอารมณ์อะไรกระทบ แล้วก็มาเสียใจตอนหลัง อย่างเนี้ย มันจะท้อ ...ไม่เอา ไม่ต้องไปท้อแท้อะไรน่ะ...รู้ไป 

พยายามรู้ไว้ รู้บ่อยๆ รู้ตัว รู้ไว้ๆๆ ...สร้างนิสัยนี้ขึ้นมามากๆ มันจึงจะข้ามอนุสัยสันดาน...ที่ปล่อย ประมาท มัวเมา เผลอเพลิน หรือทำให้มันน้อยลง

มันจะเกิดเป็นนิสัยรู้เท่ารู้ทัน รู้ตัวอยู่เสมอ ไม่มีอะไรก็รู้ อย่าว่าแต่มีอะไรถึงรู้เลย ไม่มีอะไรก็รู้ อยู่กับรู้เป็นนิสัย อยู่กับสติเป็นอาจิณ เป็นกิจวัตร เหมือนเข้าเวรน่ะ...เข้าเวรอยู่กับสติน่ะ

เวลาเราเป็นนักเรียนก็ต้องมีเวรใช่มั้ย แต่เวรของเรานี่อาทิตย์ละครั้งหรือสองสามวันครั้ง เข้าเวรเก็บห้อง ก็เรียกว่าเข้าเวร มันมีงานต้องทำนี่ ...แต่มันน้อยไปวันสองวันครั้งน่ะ

มันจะเป็นการเข้าเวรแบบเอาสติเป็นเวรตลอดเวลา...เป็นงานเป็นอาจิณ ...เพราะนั้นพอมันข้ามพ้นจากความยากในขั้นต้นแล้วนี่ ขั้นกลาง ขั้นต่อไปนี่มันง่าย

มันง่าย มันไม่ยาก ...มันง่ายเพราะมันจะเห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร มันเริ่มเห็นว่าอะไรเป็นอะไรได้ชัดเจนแล้ว จากที่มันเคยคลุมเครือๆ 

เพราะนั้นไอ้ที่ยังคลุมเครืออยู่นี่ มันจะไม่มีอะไรชัดเจน...แล้วมันจะน่าเบื่อ เพราะไม่เห็นว่ามันมีความก้าวหน้าถอยหลังแต่ประการใด

มันก็เข้าใจว่า ไอ้ที่มันไม่เข้าใจอะไร ยังคลุมเครืออยู่นั่นคือการถอยหลังหรือไม่ได้อะไร ตรงนี้มันจะเป็นตัวกัดกร่อนๆ ทำให้ความวิริยะบากบั่นน้อยลง จนหมด จนหายไป

กว่าจะมาเริ่มวิริยะบากบั่นขึ้นมา แล้วก็ทบทวนทำขึ้นมาปฏิบัติขึ้นมา ก็ต่อเมื่อทุกข์เจียนตาย หรือรู้สึกว่าคับแค้นทนไม่ไหวต่ออะไรสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว

บุญที่เคยฟังธรรมมา มันจะหวนขึ้นถึงธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังมา แล้วมันจะน้อมให้เกิดการปฏิบัติ พอเอาตัวรอดได้ตามเหตุปัจจัยนั้นๆ ...มันจะเป็นอย่างนั้น

เพราะนั้นไอ้การฟังนี่ ถึงแม้ไม่ได้ปฏิบัติ มันก็เป็นบุญ เป็นบุญจากการฟัง ...เมื่อเวลาถึงคราวคับขัน แบบว่าปล่อยหลงระเริงเผลอเพลินไปแล้วจนเป็นทุกข์เป็นโศก คับแค้นแน่นใจ โศกาอาดูร อาวรณ์อาลัย 

บุญที่เคยฟังธรรมมา มันจะนึกหวนขึ้นมา ให้เข้ามาหาพระบ้าง ให้เข้ามาฟังธรรมบ้าง ให้น้อมนำธรรมปฏิบัติมาปฏิบัติตามบ้าง...เพื่อแก้ เพื่อชำระ เพื่อทำให้ผ่อนคลาย

แล้วพอมันผ่อนคลาย ชำระ หรือสบายใจได้ระดับหนึ่ง มันก็ทิ้งแล้ว ธรรมก็ค่อยๆ จางหายไป ...มันจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว

นี่ไม่ได้มีตาอดีตตาอนาคตหรอก เดาเอา ถ้าไม่เดาก็คงไม่เห็นมาฟังกันอย่างนี้หรอก ก็น่าจะเป็นอย่างเนี้ย คงไม่เป็นอย่างอื่นหรอก

ถ้าเป็นอย่างอื่นก็คงไม่มีใครมาฟังเราแล้ว ไปนิพพานกันหมดแล้ว ...มันก็ลงเหตุปัจจัยซ้ำซากอันเดิมนี่แหละ สัตว์มนุษย์ ปุถุชน หญิงชาย ทุกคนน่ะ

ไม่มีแก่ไม่มีหนุ่ม เหมือนกันหมดน่ะ นิสัยของจิตไม่มีอายุน่ะ จิตมันไม่มีอายุ ไม่มีเพศไม่มีพรรณหรอก ...แต่มันก็สร้างนิสัยซ้ำซากๆๆ เหมือนเดิมของมันอยู่อย่างนี้

พูดอีกก็ถูกอีก พูดยังไงก็โดน มันเป็นอย่างนี้ทุกคนน่ะ ไม่มีใครยกเว้นหรอก เราด้วย ...เพราะนั้นที่เราพูดทั้งหมด จิตเราทั้งนั้นแหละ

คือเราดูจนเรียกว่า มึงมาซ้ายกูรู้ มึงมาขวากูรู้ มึงมาบนหรือมึงมาล่าง มาเอียงกี่องศาฟิลิปดา กูรู้หมดน่ะ ... นี่ ทำไมมันจะไม่ชัดเจน มันเป็นมาหมดแล้ว มันเห็นมาหมดแล้ว

ว่า...อ๋อ มันมาท่านี้เอง แล้วจากท่านี้มันจะไปท่าไหนต่อ...รู้เลย ...แล้วสุดท้ายของท่านั้นคืออะไร จะเจ็บกี่เปอร์เซ็นต์ จะทุกข์กี่เดือนกี่ปี จะหนาแน่นขนาดไหน

มันเห็นนี่ มันซ้ำซากจำเจอยู่อย่างนี้ มันเรียนรู้ตัวมันเองของมันอย่างนี้ด้วยสติด้วยญาณทัสสนะ หยั่งลงด้วยความเป็นกลาง ดูเฉยๆ รู้เฉยๆ ไม่แก้ไม่หนีอะไร

อยากมีก็มี อยากมาก็มา มีอะไรเกิดก็เกิด ใครจะพูดก็พูด ใครจะไม่พูดก็ไม่พูด ใครจะแสดงอากัปกริยาอย่างไรก็ไม่ตอบไม่โต้ ไม่ชมไม่ด่า ไม่หนี

หน้าด้าน อยู่แบบหน้าด้าน ข้างนอกก็ด้าน ข้างในก็ด้าน ...พยายาม ข้างในมันจะไม่ด้าน ข้างนอกมันด้านก่อน แล้วข้างในมันไม่ด้าน พยายามให้มันด้าน ... ดูมันเข้าไป

จน...เออเฮอะ ยกให้มัน ยกประโยชน์ให้มัน ยกประโยชน์ให้จำเลย ยกฟ้อง...ให้จิตมันเกิดอาการที่เรียกว่ายกฟ้อง ตัดสินแล้วไม่มีความผิด...ทุกครั้งทุกเรื่อง

ไม่เอาอะไรเลย ไม่จับใครมาติดคุก ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่หาเรื่องกับอะไร...สันติ ข้างในนี่สันติ  ถ้ามันไม่สันติตรงไหน..เอาเลย ...นี่ ไม่ได้ไปเอากับเขานะ เอากับจิตเรานี่

มันจะเข้าไปอะไรกับอะไร มันไม่สันติเพราะอะไร หาเหตุ ควานคว้านลงไปด้วยญาณทัสสนะ หยั่งลงจนแจ้ง ทะลุ...อ๋อ แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร บ้า ความบ้าของจิตผีบ้าน่ะ มันหายไปเอง

ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาช่วยหรือว่าใครจะมาสามารถช่วยได้เลย ...ช่วยตัวเอง รู้เองเห็นเอง มีความพากเพียร ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ปล่อยปละละเลย นิดหนึ่งก็ไม่เอา หน่อยนึงก็ไม่ละ

จับทุกเม็ด ทุกกระบวนท่า ทุกกระบวนจิต ทุกอณูธาตุ ทุกอณูธรรม อย่างหนังสือหลวงปู่ท่านก็เขียนไว้ว่าละอองธรรม ละออง...ถึงขั้นเข้าไปเห็นละอองธรรมน่ะ

แต่ถ้าไอ้ธรรมลูกเท่าภูเขามันยังไม่เห็น จะไปพูดถึงละอองธรรมรึ เห้ย มันยังมองข้ามภูเขาไปซะยังงั้น แล้วยังไปหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้

ท่านก็ไล่มาตั้งแต่ภูเขาจนถึงละอองธรรม จนถึงเข้าสู่ความเป็นวิสุทธิธรรม คือความเป็นสุญญตา ดับไป ว่างไป สิ้นไป ไม่มีอะไร หมดสิ้นไปเป็นธรรมดา

เพราะนั้น อย่ามัวแต่ค้น อย่ามัวแต่หา อย่ามัวแต่รอ ...เหมือนอ้อยอยู่กับปากช้างน่ะ อยู่ตรงนี้แล้ว อยู่ตรงปากแล้ว...เหลืออย่างเดียว คือไม่เคี้ยวกับไม่กลืน

แล้วก็ในระหว่างที่มีอ้อยอยู่ในปากนี่ ไปร่ำร้องเรียกร้อง กำลังไปหาของกินที่เอร็ดอร่อยกว่า...บ้ารึเปล่า

เราไม่ว่าใคร ว่าทุกคนเลย ...มันหาอะไรอยู่ ทั้งๆ ที่ว่า ของนี่มันมีอยู่ในปากให้กินอยู่แล้ว ดั้นด้นไปหาไม่รู้กี่ร้อยกิโล ไปหาธรรมน่ะ

อดตาหลับขับตานอน หาอยู่นั่นๆ ก็ไม่เห็นสักทีนึง ก็ไม่ถึงสักทีนึง เหมือนหาอะไรก็ไม่รู้...ที่มันเหมือนกับว่าธรรมนี้มันช่างเป็น untouchable มันช่างจับต้องได้ยากเหลือเกิน

นั่นน่ะอ้อยอยู่ในปากช้าง แต่ช้างมันไม่รู้ว่า...มึงรู้จักเคี้ยวมั้ย ...ถ้าช้างตัวนั้นมาหาเรา เราจะตบกะโหลกมันปึ้ง แค่มึงขยับปากเนี่ย แล้วมึงจะลิ้มรสความหวานของอ้อยตรงนั้น

มัวแต่ร่ำร้อง แปร๋นๆๆๆ ออกไปหาอะไรกิน ว่าหิวโหยอดอยาก อดอยากหิวโหยในธรรมอยู่ตลอดเวลา

ธรรมนี้เป็นกลาง ธรรมนี้ไม่ใช่ของใคร ธรรมนี้คือสรรพสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครครอบครอง ...เพราะนั้น ธรรมนี่มีอยู่ ไม่อดไม่อยาก ไม่ขัดสน มีตลอดเวลา

ถ้ามันเรียนรู้ธรรมภายในอย่างนี้นะ กายใจนี้นะ ...พอถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ เหมือนธรรมเทศนาบทใหญ่ เป็นธรรมทุกขณะ ทุกเรื่องราว

รูปที่เห็น หูที่ได้ยิน สภาวะการเป็นไป ทุกอย่างที่มากระทบสัมผัสกับขันธ์ห้าทั้งหมด เหมือนเป็นยาขนานเอกมาเยียวยาใจ ...เป็นยาหมดเลย

ไม่ได้เป็นของไม่ดี ไม่ได้เป็นของที่ว่ามาขัดขวาง ไม่ได้เป็นของที่ว่าเป็นโทษหรือมาทำให้เราเป็นทุกข์ ...ทุกอย่างเป็นยาสมานโรคภายในหมด

มหาสติมหาปัญญาตรงนั้นมันจะเข้าไป ปึ้บๆๆๆ เรียนรู้ขุดค้น ทำลายความหมายมั่น ความเห็นผิด ตรงนั้นๆๆ ทุกที่ทุกอณูละอองของธรรม จนไม่หลงเหลือ

นั่นน่ะ ท่านเรียกว่าความดับไปโดยสิ้นเชิงนะ ไม่หวนคืนอีกแล้ว มันไม่มีอะไรเหลือ จะไปหวนคืนกับอะไร ...คำว่าไม่มีอะไรเหลือ คือไม่มีอะไรเหลือให้ตั้งอยู่เลย ว่ายังมีอะไรอยู่

มันจะหวนคืนกับอะไรดี มันจะไปก่อภพกับอะไรดี มันจะเอาอะไรมาเป็นที่ตั้งของภพดี มันจะเอาอะไรเป็นที่ตั้งของอารมณ์ดี มันจะเอาอะไรเป็นที่ตั้งของกิเลสดี...มันไม่มี

มันหมดจนสิ้นน่ะ มันสิ้น ...เพราะอะไร  ด้วยญาณ ด้วยปัญญามันเห็นความไม่มีในการปรากฏ ไม่ว่ารูปเสียงจะดีจะชั่ว จะร้าย จะทราม จะเป็นทุกข์ จะเดือดร้อน อย่างนั้นอย่างนี้...ไม่มี

ถึงความไม่มี หมด ดับสิ้นหมด ไม่มีตัวตนที่แท้จริง นั่นแหละถึงเรียกว่าเข้าสู่นิโรธ คือความดับโดยสิ้นเชิง

ถ้ามันเห็นทุกอย่างดับโดยสิ้นเชิงนี่ มันจะมีอะไรที่จะไปเกาะ ไปกุม ไปเกี่ยว ไปแตะต้อง ไปควาน ไปค้นหากับสิ่งนั้นอีกล่ะ


(ต่อแทร็ก 7/31  ช่วง 2)